32 จำนวนผู้เข้าชม |
เคลมโซลาร์เซลล์อย่างไรให้ผ่านเร็ว? คู่มือฉบับเจ้าของบ้านและเจ้าของโรงงาน
เมื่อระบบโซลาร์เซลล์เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะจากพายุ ลูกเห็บ ไฟไหม้ หรือไฟฟ้าลัดวงจร
“การเคลมประกัน” คือขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับค่าชดเชยและกลับมาผลิตไฟได้ตามปกติ
แต่หลายคนกลับติดปัญหาว่า “เคลมไม่ผ่าน” หรือ “ล่าช้า”
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเอกสารไม่ครบ แจ้งช้า หรือไม่เข้าใจขั้นตอนของบริษัทประกัน
บทความนี้จึงรวบรวมแนวทาง “เคลมให้ผ่านเร็ว” สำหรับทั้งเจ้าของบ้านและโรงงาน
ที่มีการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ไว้แล้ว
1. ตรวจสอบความคุ้มครองก่อนแจ้งเคลม
ก่อนทำการเคลม ควรเปิดดูกรมธรรม์ที่คุณถืออยู่ ว่า ครอบคลุมภัยที่เกิดขึ้นหรือไม่
เช่น
ภัยธรรมชาติ (พายุ, ฟ้าผ่า, ลูกเห็บ, น้ำท่วม)
ไฟไหม้หรือการระเบิดของอุปกรณ์
การโจรกรรม
ความเสียหายจากบุคคลภายนอก
เคล็ดลับ:
เก็บไฟล์กรมธรรม์ไว้ทั้งแบบกระดาษและแบบออนไลน์
บันทึกเบอร์ติดต่อของบริษัทประกันและนายหน้าไว้ในโทรศัพท์
2. ถ่ายภาพหลักฐานให้ครบ ตั้งแต่ต้นเหตุถึงความเสียหาย
ภาพถ่ายเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดในการพิจารณาเคลม
ควรถ่ายในมุมต่าง ๆ ดังนี้
จุดที่เสียหายของแผง อินเวอร์เตอร์ หรือแบตเตอรี่
ภาพรวมของระบบก่อนและหลังเกิดเหตุ
พื้นที่รอบข้างที่อาจได้รับผลกระทบ เช่น หลังคา ผนัง หรือพื้นดิน
ถ้ามีสาเหตุจากพายุหรือลูกเห็บ ควรถ่ายสภาพอากาศและก้อนลูกเห็บไว้ด้วย
อย่าซ่อมหรือขยับอุปกรณ์ก่อนเจ้าหน้าที่ประเมินเข้ามาตรวจ
เพราะอาจถูกปฏิเสธเคลมได้
3. แจ้งเหตุเร็ว = เคลมเร็ว
หลังเกิดเหตุ ควรรีบแจ้งบริษัทประกัน ภายใน 24 ชั่วโมง
โดยเตรียมข้อมูลเบื้องต้นให้พร้อม เช่น
วันและเวลาที่เกิดเหตุ
สาเหตุที่คาดว่าเกิดความเสียหาย
มูลค่าความเสียหายโดยประมาณ
หากซื้อผ่านนายหน้า เช่น ศรีกรุงโบรคเกอร์ สามารถแจ้งผ่านทีมดูแลหรือตัวแทนได้ทันที
จะช่วยประสานงานกับบริษัทประกันให้ครบทุกขั้นตอน
4. เตรียมเอกสารให้ครบก่อนส่งเคลม
เอกสารหลักที่ต้องใช้ประกอบการเคลม ได้แก่
สำเนากรมธรรม์
รูปถ่ายความเสียหาย
ใบเสนอราคาค่าซ่อมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์
รายงานเหตุการณ์จากตำรวจ (กรณีโจรกรรมหรือไฟไหม้)
ใบรับรองจากช่างผู้ติดตั้ง (หากเกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า)
เคล็ดลับ:
หากใช้บริการจากบริษัทติดตั้งที่ได้มาตรฐาน
มักมีทีมช่างช่วยจัดทำเอกสารให้เรียบร้อย ทำให้ขั้นตอนเคลมเร็วขึ้นมาก
5. ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ประเมินอย่างใกล้ชิด
เมื่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันเข้าตรวจหน้างาน
ควรเตรียมข้อมูลระบบไว้ให้พร้อม เช่น
รุ่นของแผงและอินเวอร์เตอร์
วันที่ติดตั้ง
ชื่อบริษัทผู้ติดตั้ง
ภาพก่อนเกิดเหตุ (หากมี)
การให้ข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วนจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ประเมินได้เร็ว
และลดโอกาสการเรียกข้อมูลซ้ำซ้อน