Public Liability vs Product Liability ต่างกันอย่างไร? เจ้าของธุรกิจต้องเลือกแบบไหน

3 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Public Liability vs Product Liability ต่างกันอย่างไร? เจ้าของธุรกิจต้องเลือกแบบไหน

Public Liability vs Product Liability ต่างกันอย่างไร? เจ้าของธุรกิจต้องเลือกแบบไหน
เจ้าของธุรกิจหลายคนอาจเคยได้ยินชื่อประกันภัยทั้งสองแบบ —
“ประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (Public Liability)” และ
“ประกันความรับผิดต่อผลิตภัณฑ์ (Product Liability)”

แม้ชื่อจะคล้ายกัน แต่ทั้งสองแบบมีความแตกต่างอย่างมากใน “ขอบเขตความคุ้มครอง” และ “กลุ่มธุรกิจที่เหมาะสม”
หากเข้าใจผิดหรือเลือกไม่ตรงประเภท อาจทำให้ธุรกิจของคุณ ไม่ได้รับความคุ้มครองในเวลาสำคัญที่สุด


1. Public Liability คืออะไร?
Public Liability Insurance (ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก)
เป็นประกันที่คุ้มครอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในสถานประกอบการของคุณ
ที่ทำให้บุคคลภายนอกได้รับบาดเจ็บหรือทรัพย์สินเสียหาย

ตัวอย่างความคุ้มครอง:

ลูกค้าลื่นล้มในร้านอาหาร
คนเดินผ่านหน้าร้านแล้วโดนป้ายร้านหล่นใส่
พนักงานขนของชนรถของลูกค้าในลานจอด
เหมาะสำหรับธุรกิจ:

ร้านอาหาร คาเฟ่
ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าโชว์รูม
โรงงานที่มีผู้มาติดต่อหรือลูกค้าขับรถเข้ามารับสินค้า
โรงแรม รีสอร์ต หรือฟิตเนส
กล่าวง่าย ๆ คือ หาก “เหตุเกิดในพื้นที่ของคุณ” และมีคนภายนอกได้รับผลกระทบ — ประกันนี้คุ้มครองทันที


2. Product Liability คืออะไร?
Product Liability Insurance (ประกันภัยความรับผิดต่อผลิตภัณฑ์)
เป็นประกันที่คุ้มครอง “ความเสียหายที่เกิดจากการใช้สินค้าของคุณ” หลังจากที่ได้จำหน่ายออกไปแล้ว

ตัวอย่างความคุ้มครอง:

ลูกค้าใช้เตารีดที่ผลิตโดยบริษัท แล้วไฟฟ้าลัดวงจรจนเกิดไฟไหม้
ผลิตภัณฑ์อาหารปนเปื้อน ทำให้ผู้บริโภคป่วย
เครื่องสำอางทำให้ผู้ใช้เกิดอาการแพ้รุนแรง
ชิ้นส่วนเครื่องจักรที่ขายให้ลูกค้าเกิดขัดข้อง จนทำให้โรงงานเขาเสียหาย
เหมาะสำหรับธุรกิจ:

โรงงานผลิตสินค้า
ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม
บริษัทเครื่องสำอาง หรือสินค้าสุขภาพ
ผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรม
หรือสรุปง่าย ๆ ว่า หาก “สินค้าเป็นต้นเหตุให้เกิดความเสียหาย” — ประกันนี้คือสิ่งที่คุ้มครอง


3. เปรียบเทียบ Public Liability vs Product Liability
รายการเปรียบเทียบ
Public Liability
Product Liability
จุดเริ่มต้นของความเสียหาย
เกิดขึ้น “ภายในสถานประกอบการ”
เกิดจาก “สินค้าที่ขายออกไปแล้ว”
ความคุ้มครองหลัก
ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
ความเสียหายต่อผู้บริโภคจากการใช้สินค้า
ตัวอย่างเหตุการณ์
ลูกค้าลื่นในร้าน, ป้ายร้านหล่นใส่คน
ลูกค้ากินอาหารแล้วแพ้, เครื่องไฟฟ้าไฟไหม้
กลุ่มธุรกิจเหมาะสม
ร้านค้า โรงแรม โรงงานบริการ
โรงงานผลิตสินค้า อาหาร เครื่องสำอาง
ระยะเวลาความเสี่ยง
ระหว่างมีการติดต่อกับลูกค้า
หลังขายสินค้าออกไปแล้ว

4. แล้วเจ้าของธุรกิจควรเลือกแบบไหน?
จริง ๆ แล้วธุรกิจส่วนใหญ่ ควรมีทั้งสองแบบควบคู่กัน
เพราะความเสี่ยงมีได้ทั้ง “ขณะให้บริการ” และ “หลังส่งมอบสินค้า”

ตัวอย่างเช่น

โรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า — ควรมี Product Liability (ป้องกันความเสียหายจากสินค้าที่ขาย)
และ Public Liability (หากมีผู้มาติดต่อในโรงงานได้รับอุบัติเหตุ)
ร้านอาหาร — ควรมี Public Liability (ลูกค้าลื่นในร้าน)
และ Product Liability (ลูกค้าท้องเสียจากอาหาร)

5. สรุปสั้น ๆ ให้เข้าใจง่าย
ถ้า “เหตุเกิดในพื้นที่ของคุณ” → ใช้ Public Liability
ถ้า “เหตุเกิดจากสินค้าที่คุณขาย” → ใช้ Product Liability
การมีทั้งสองแบบคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจยุคใหม่
เพราะทุกความเสียหาย ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนกระทบชื่อเสียงและรายได้ของธุรกิจโดยตรง


สนใจเช็กเบี้ย ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ติดต่อได้ที่

คุณบอย
โทร: 080-295-6052 | Line: @srikrungmentor

คุณปูเป้
โทร: 080-295-1830 | Line: @srikrungmentor

Facebook Page: ศรีกรุงปทุมธานี
TikTok: ปูเป้ศรีกรุงประกันภัย

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้