846 จำนวนผู้เข้าชม |
                       เรื่องที่คนมีรถยนต์ ใช้รถจักรยานยนต์บนท้องถนนต้องทำเป็นประจำทุก ๆ ปี นั่นคือ การชำระภาษีรถประจำปี ชำระค่าพ.ร.บ. และชำระค่าประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ซึ่งเป็นรายจ่ายที่คนมีรถต้องเตรียมเงินสำรองไว้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า รถยนต์ที่เราขับ รถจักรยานยนต์ที่เราขับขี่นั้น ต้องเสียเงินเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย คือ
1. ความจุกระบอกสูบ (ซีซี)
 2. น้ำหนักรถ
 3. อายุรถ
   ซึ่งหลักการคำนวนภาษี จะยึดตามอัตราภาษีรถ ตามพ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 โดยจะจัดเก็บ 4 ประเภทด้วยกัน คือ
    1. จัดเก็บตามความจุกระบอกสูบ (ซีซี) ได้แก่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน โดยมีอัตรา ดังนี้
    600 ซีซีแรก ซีซีละ 0.50 บาท
     601 - 1,800 ซีซี ๆ ละ 1.50 บาท
     เกิน 1,800 ซีซี ๆ ละ 4.00 บาท
ทั้งนี้ หากเป็นรถของนิติบุคคลที่มิได้เป็นผู้ให้เช่าซื้อ ให้จัดเก็บในอัตราสองเท่า นอกจากนี้ หากเป็นรถที่จดทะเบียนมาแล้ว 5 ปี ให้ได้รับการลดหย่อนภาษีประจำปีในปีต่อ ๆ ไป ดังนี้
    ปีที่ 6 ร้อยละ 10
     ปีที่ 7 ร้อยละ 20
     ปีที่ 8 ร้อยละ 30
     ปีที่ 9 ร้อยละ 40
     ปีที่ 10 และปีต่อ ๆ ไป ร้อยละ 50
  ซึ่งรถเก๋งส่วนบุคคลส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในประเภทนี้  จึงจะยกตัวอย่างการคำนวณภาษีประเภทนี้ให้พอเห็นภาพนะคะ
  ขั้นที่ 1   ดู ซีซี ของรถเรา จากสมุดคู่มือรถ  
    สมมติว่ารถเราความจุกระบอกสูบ 2,979 ซีซี
  ขั้นที่ 2   เอา ไปเที่ยบกับตารางนี้ ว่าเราอยู่ในข้อไหน
                  1. 600 ซีซีแรก ซีซีละ 0.50 บาท
                  2. 601 - 1,800 ซีซี ๆ ละ 1.50 บาท
                  3. เกิน 1,800 ซีซี ๆ ละ 4.00 บาท
    ถ้าอยู่ในข้อ 1 ให้เอา "ความจุกระบอกสูบ (ซีซี)"  ไปคูณ 0.5 ได้เลยคะ  
             เช่น รถ 400 ซีซี จะเท่ากับ  400x0.5 = 200 บาท
    ถ้าอยู่ในข้อ 2 ให้เอา "ความจุกระบอกสูบ (ซีซี)"  ไปลบ 600  แล้วคูณกับ 1.5 จากนั้นเอาไปบวก 300 (เรตภาษี 600 ซีซี     แรก) ค่ะ 
             เช่น รถ 1,200 ซีซี จะเท่ากับ  (1,200-600)x1.5 = 900 บาท + 300 บาท (เรตภาษี 600 ซีซีแรก)  รวมเป็นเงิน 1,200 บาท
    ถ้าอยู่ในข้อ 3 ให้เอา "ความจุกระบอกสูบ (ซีซี)"  ไปลบ 1800  แล้วคูณกับ 4 จากนั้นเอาไปบวก 300 (เรตภาษี 600 ซีซี     แรก) 1800  (เรตภาษี 601-1800 ซีซี) ค่ะ 
             เช่น รถ 2,000 ซีซี จะเท่ากับ   (2,000-1,800)x4 = 800 บาท + 300 บาท (เรตภาษี 600 ซีซีแรก) + 1800 บาท  (เรตภาษี 601-1800 ซีซี) รวมเป็นเงิน 2,900 บาท 
  ขั้นที่ 3   ตรวจสอบอายุรถของเรา
     ถ้าปีที่ 1-5       คำนวณขั้นที่ 2 ได้เท่าไหร่ก็ชำระตามนั้นได้เลยค่ะ
         ถ้าปีที่ 6         ได้ส่วนลด 10 %  จาก 1,200 เหลือ 1,080 บาท (10/100 * 1,200 = ส่วนลด 120 บาท)
         ถ้าปีที่ 7         ได้ส่วนลด  20 % จาก 1,200 เหลือ     960 บาท (20/100 * 1,200 = ส่วนลด 240 บาท)
         ถ้าปีที่ 8         ได้ส่วนลด  30 % จาก 1,200 เหลือ     840 บาท (30/100 * 1,200 = ส่วนลด 360 บาท)
         ถ้าปีที่ 9         ได้ส่วนลด  40 % จาก 1,200 เหลือ     720 บาท (40/100 * 1,200 = ส่วนลด 480 บาท)
         ถ้าปีที่ 10 ขึ้นไป     ได้ส่วนลด  50 % จาก 1,200 เหลือ     600 บาท (50/100 * 1,200 = ส่วนลด 600 บาท)   
    2. จัดเก็บเป็นรายคัน โดยรถประเภทตามข้อ 2 นี้ ค่าภาษีในแต่ละปีจะตายตัว 
     - รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล คันละ 100 บาท
     - รถจักรยานยนต์สาธารณะ คันละ 100 บาท
     - รถพ่วงของรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล คันละ 50 บาท
     - รถพ่วงนอกจากข้อข้างต้น คันละ 100 บาท
     - รถบดถนน คันละ 200 บาท
     - รถแทรกเตอร์ที่ใช้ในการเกษตร คันละ 50 บาท
    3. จัดเก็บตามน้ำหนัก ได้แก่ รถประเภท
     - รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน
     - รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัดรถยนต์บริการ     
     - รถยนต์รับจ้าง     
     - รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลรถลากจูงรถแทรกเตอร์ที่มิได้ใช้ในการเกษตร
    4. รถที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้า
     - รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ให้เก็บภาษีตามน้ำหนักของรถในอัตรารถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกินเจ็ดคน
     - รถอื่นนอกจาก 4.1 ให้เก็บภาษีในอัตรากึ่งหนึ่งของรถตามข้อ 2 และ 3
    ที่นี่ก็ทราบแล้ว ว่าจะไปชำระภาษีรถยนต์ครั้งต่อไปควรจะเตรียมเงินไปเท่าไหร่ แต่สำคัญที่สุด คือ อย่าลืมไปชำระภาษีนะคะ เพราะถ้าปล่อยให้เลยกำหนดชำระภาษีจะต้องเสียค่าปรับร้อยละ 1 ของภาษีที่จะต้องชำระ คูณด้วยจำนวนเดือนที่เลยกำหนดชำระ (เศษของเดือนปัดเป็น 1 เดือน)