7 จำนวนผู้เข้าชม |
เมื่อเข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ไตไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้ตามกลไกปกติ ผู้ป่วยจะต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดทดแทนไตที่เรียกว่า “การฟอกไต” เพื่อกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้
การฟอกไตคืออะไร?
การฟอกไต (Kidney Dialysis) คือ การกรองและกำจัดของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกาย เป็นวิธีทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้ายหรือไตวายเฉียบพลัน เนื่องจากไตของผู้ป่วยระยะนี้ไม่สามารถทำหน้าที่กรองของเสียได้ ส่งผลให้เกิดสารพิษและของเสียสะสมในร่างกาย จึงต้องทำการฟอกไตเพื่อให้มีการทำงานใกล้เคียงกับไตในภาวะปกติ ช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยมีความสมดุล
การฟอกไตมีกี่วิธี?
ปัจจุบันการฟอกไตที่นิยมใช้มี 2 วิธี ได้แก่
การฟอกไตทางหลอดเลือด (Hemodialysis) เป็นการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โดยจะนำเลือดออกจากร่างกายทางเส้นเลือดดำ ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการใส่สายฟอกเลือดชั่วคราว เพื่อให้หลอดเลือดดำมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีแรงดันมากพอที่จะทำให้เลือดไหลเวียนสู่เครื่องไตเทียมได้ เมื่อเลือดผ่านตัวกรองจะได้รับการกำจัดของเสีย ปรับระดับเกลือแร่ในเลือดจนกลายเป็นเลือดดี แล้วนำเลือดกลับเข้าสู่ร่างกายเหมือนเดิม วิธีนี้จะใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง และทำอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
การฟอกไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) เป็นการกรองของเสียและสารพิษผ่านทางช่องท้องด้วยน้ำยาล้างไต โดยแพทย์จะฝังสายท่อล้างไตแบบถาวรไว้ในช่องท้องของผู้ป่วย เพื่อเป็นช่องทางเข้า-ออกของน้ำยาล้างไต เวลาฟอกไตผู้ป่วยจะใส่น้ำยาล้างไตเข้าไปในช่องท้องผ่านท่อดังกล่าว และทิ้งไว้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะปล่อยน้ำยาที่ดูดซึมของเสียออกมาทางช่องท้อง และทำการเติมน้ำยาล้างไตเข้าไปในช่องท้องอีกครั้ง วิธีนี้สามารถทำได้เองที่บ้าน โดยต้องทำทุกวันประมาณ 4-6 ครั้งต่อวัน
เมื่อไรที่ต้องเริ่มรักษาด้วยการฟอกไต?
เมื่อผู้ป่วยโรคไตเริ่มเข้าสู่ระยะที่ 4 จนถึงระยะที่ 5 ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย เนื่องจากเป็นระยะที่ไตทำงานได้น้อยกว่า 30% หรือผู้ป่วยโรคไตที่มีภาวะดังต่อไปนี้
ผู้ป่วยฟอกไตอยู่ได้นานเท่าไร?
การฟอกไตช่วยยืดอายุของผู้ป่วยฟอกไตได้ แต่ระยะเวลาจะนานเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ทั้งการมีโรคประจำตัวอื่นของผู้ป่วย และการดูแลตนเองหลังการฟอกไต หากผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รักษาสุขอนามัยเป็นอย่างดี รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดเครื่องดื่มที่มีฟอสเฟตสูง ไม่สูบบุหรี่ และควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน รวมทั้งทำการฟอกไตอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ผู้ป่วยก็มีโอกาสอยู่ได้นานถึงหลักสิบปีเลยทีเดียว
การฟอกไตเจ็บไหม?
การฟอกไตทั้ง 2 วิธี ไม่เจ็บอย่างที่คิด โดยการฟอกไตทางหลอดเลือด แพทย์จะแทงเข็มเข้าสู่เส้นเลือดเพื่อให้เลือดส่งผ่านสายฟอกไตไปยังตัวกรอง หลังจากเลือดผ่านการทำความสะอาดแล้วเครื่องไตเทียมก็จะส่งเลือดกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง วิธีนี้ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกเจ็บเฉพาะตอนแทงเข็ม ซึ่งคล้ายกับการเจาะเลือดหรือการฉีดยาธรรมดา เว้นแต่ว่าผู้ป่วยเส้นเลือดจมอาจรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ระหว่างที่เลือดถูกนำมาฟอกจะไม่มีอาการเจ็บใด ๆ
ส่วนการฟอกไตทางช่องท้องก็ไม่เจ็บเช่นเดียวกัน เพราะเป็นการใส่น้ำยาผ่านท่อที่ฝังไว้ในช่องท้องอยู่แล้ว โดยผู้ป่วยเพียงนำน้ำยาฟอกไตใส่เข้าไปทางท่อด้านหนึ่ง และปล่อยน้ำยาทิ้งไว้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง เพื่อให้ของเสียและน้ำส่วนเกินมาอยู่บริเวณหน้าท้อง เมื่อครบน้ำยาจะไหลออกมาทางท่ออีกด้านหนึ่ง โดยแพทย์จะกำหนดปริมาณน้ำยาฟอกไตที่พอเหมาะประมาณครั้งละ 2 ลิตร ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดแน่นท้อง
ไตวายเรื้อรัง ไตวายเรื้อรัง คือ ภาวะที่ไตถูกทำลายช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ไตไม่สามารถทำหน้าที่ได้ปกติ โดยสัญญาณเตือนของโรคไตวายเรื้อรัง คือ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะมีความปกติ มีอาการบวมตามจุดต่าง ๆ เช่น หน้าบวม ตาบวม หรือเท้าบวม เป็นต้น หากไม่ได้รับการรักษา จะเข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายนำมาสู่การบำบัดทดแทนไตอย่างการฟอกไตนั่นเอง
สาเหตุของไตวายเรื้อรัง
ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะหลายครั้ง