3 จำนวนผู้เข้าชม |
ต่อยอดจากประกันเครื่องจักร ด้วย “แผนบริหารความเสี่ยงโรงงาน” แบบครบวงจร
ในยุคที่ธุรกิจอุตสาหกรรมแข่งขันสูงและต้นทุนเพิ่มขึ้นทุกปี การมีเพียง “ประกันเครื่องจักร” อย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ
เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นในโรงงานไม่ได้มาจากเครื่องจักรเท่านั้น แต่ยังมาจากปัจจัยอื่น เช่น พนักงาน, ระบบไฟฟ้า, วัตถุดิบ, หรือแม้แต่ภัยธรรมชาติ
ผู้บริหารโรงงานยุคใหม่จึงต้องก้าวไปอีกขั้น ด้วยการวาง “แผนบริหารความเสี่ยงโรงงาน (Factory Risk Management Plan)”
ที่ช่วยให้ธุรกิจมีระบบป้องกัน ปรับตัว และฟื้นฟูได้ครบวงจร — จากการคาดการณ์ก่อนเกิดเหตุ ไปจนถึงการจัดการหลังเกิดความเสียหาย
1. เริ่มต้นจากการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)
การบริหารความเสี่ยงที่ดีต้องเริ่มจาก “รู้ว่าอะไรเสี่ยง”
โดยผู้บริหารควรร่วมกับทีมงานและนายหน้าประกันในการประเมินว่าโรงงานของตนมีความเสี่ยงในด้านใดบ้าง เช่น
เครื่องจักรเก่าหรือใช้งานเกินรอบ
ระบบไฟฟ้าไม่มีการตรวจสอบประจำปี
การเก็บวัตถุดิบติดไฟง่ายในพื้นที่ไม่เหมาะสม
ไม่มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ
การบำรุงรักษาไม่สม่ำเสมอ
เมื่อทราบจุดเสี่ยงแล้ว จึงสามารถออกแบบ มาตรการลดความเสี่ยง (Risk Control) ได้อย่างเหมาะสม
2. เชื่อมโยง “ประกันเครื่องจักร” เข้ากับการบริหารความเสี่ยง
ประกันเครื่องจักรไม่ได้มีไว้เพื่อซ่อมเครื่องเมื่อพังเท่านั้น
แต่ยังเป็น “เครื่องมือบริหารความเสี่ยง” ที่ช่วยป้องกันความสูญเสียทางการเงินและเวลาการผลิตได้จริง
ตัวอย่างเช่น
ใช้ข้อมูลจากการเคลมย้อนหลัง เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มความเสียหายของเครื่องจักร
ตรวจสอบว่าเครื่องใดมีค่าเคลมสูงผิดปกติ และวางแผนซ่อมหรือเปลี่ยนก่อนเกิดเหตุซ้ำ
ปรับวงเงินความคุ้มครองให้สอดคล้องกับมูลค่าเครื่องจักรในปัจจุบัน
3. เพิ่มความคุ้มครองด้วยประกันที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้ระบบบริหารความเสี่ยงโรงงานครบวงจร ควรพิจารณาทำประกันเพิ่มเติมที่ครอบคลุมความเสี่ยงอื่น ๆ เช่น
ประเภทประกัน ความคุ้มครองหลัก เหมาะสำหรับ
ประกันอัคคีภัยโรงงาน ไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ทุกโรงงาน
ประกันธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption) ชดเชยรายได้ในช่วงที่โรงงานหยุดผลิต โรงงานที่ใช้เครื่องจักรหลักในการผลิต
ประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (Public Liability) คุ้มครองเมื่อเกิดความเสียหายต่อผู้อื่น โรงงานที่ตั้งใกล้ชุมชน
ประกันเครื่องจักรเสริม (Machinery Breakdown + Electrical Equipment) ครอบคลุมเครื่องจักรและระบบไฟฟ้าทั้งหมด โรงงานระบบอัตโนมัติหรือใช้ PLC
4. ระบบป้องกันและการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance)
หนึ่งในแนวทางสำคัญของการบริหารความเสี่ยงโรงงาน คือการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
เพราะการตรวจเช็กเป็นประจำสามารถลดโอกาสเกิดเหตุเสียหายได้ถึง 60–80%
แนวทางปฏิบัติที่ควรมี ได้แก่:
จัดตารางซ่อมบำรุงประจำเดือน / รายปี
ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและแรงดันไฟ
ตรวจวัดอุณหภูมิและแรงสั่นสะเทือนของเครื่องจักร
บันทึกผลตรวจสอบทุกครั้ง เพื่อใช้ประกอบการเคลมประกัน
5. สร้าง “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ในองค์กร
แผนบริหารความเสี่ยงจะสำเร็จไม่ได้ หากไม่มีการมีส่วนร่วมจากพนักงานทุกระดับ
โรงงานที่มีวัฒนธรรมความปลอดภัยเข้มแข็งจะลดอุบัติเหตุได้มากกว่า 50%
แนวทางสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เช่น
จัดอบรมให้พนักงานเข้าใจวิธีใช้งานเครื่องจักรอย่างถูกต้อง
ตั้งคณะกรรมการความปลอดภัย (Safety Committee) ตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงเป็นประจำ
ให้รางวัลหรือชมเชยหน่วยงานที่ลดอุบัติเหตุได้
สรุป
การมี “ประกันเครื่องจักร” คือก้าวแรกของการป้องกันความเสี่ยง
แต่การมี “แผนบริหารความเสี่ยงโรงงานแบบครบวงจร” คือก้าวต่อไปที่ช่วยให้ธุรกิจมั่นคง ปลอดภัย และพร้อมเติบโตในระยะยาว
เพราะในยุคอุตสาหกรรมปัจจุบัน การป้องกันก่อนเกิดเหตุ ย่อมคุ้มค่ากว่าการซ่อมหลังความเสียหาย
สนใจเช็กเบี้ย ประกันเครื่องจักร ติดต่อได้ที่
คุณบอย
โทร: 080-295-6052 | Line: @srikrungmentor
คุณปูเป้
โทร: 080-295-1830 | Line: @srikrungmentor
Facebook Page: ศรีกรุงปทุมธานี
TikTok: ปูเป้ศรีกรุงประกันภัย